เนื้องอกมดลูก (Uterine Fibroid) คืออะไร?
เนื้องอกมดลูกเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่พบได้บ่อยในผู้หญิง เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูก ก้อนเนื้องอกอาจเกิดขึ้นเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อนพร้อมกันก็ได้ ขนาดมีตั้งแต่เพียงไม่กี่มิลลิเมตรจนถึงใหญ่หลายสิบเซนติเมตร
ตำแหน่งที่ก้อนเนื้องอกเจริญก็แตกต่างกันไป อาจอยู่ในผนังมดลูก ภายในโพรงมดลูก หรือยื่นออกไปด้านนอกของมดลูก โดยทั่วไปมักพบในผู้หญิงอายุ 30–40 ปี ลักษณะการเติบโตของแต่ละก้อนก็ไม่เหมือนกัน บางก้อนอาจโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ ขณะที่บางก้อนอาจคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นเวลานาน
เนื้องอกมดลูก (Uterine Fibroid) มีกี่ประเภท?
โดยทั่วไป เนื้องอกมดลูกสามารถแบ่งตามตำแหน่งที่ก้อนเจริญเติบโตออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้:
เนื้องอกมดลูก 3 ประเภทหลัก | |||
---|---|---|---|
ประเภท | ตำแหน่งที่โต | ลักษณะเด่น | อาการหลัก |
เนื้องอกใต้เยื่อหุ้มมดลูก (Subserosal fibroid) | ด้านนอกของมดลูก | โตยื่นออกไปด้านนอก ขนาดใหญ่กดทับอวัยวะใกล้เคียงได้ง่าย | ปัสสาวะบ่อย, ท้องผูก, ปวดท้องน้อย |
เนื้องอกในผนังมดลูก (Intramural fibroid) | ภายในผนังมดลูก | พบได้บ่อยที่สุด ทำให้มดลูกเปลี่ยนรูปร่าง | ประจำเดือนมามาก, ประจำเดือนยาวนาน, ปวดประจำเดือนรุนแรง |
เนื้องอกใต้เยื่อบุโพรงมดลูก (Submucosal fibroid) | ภายในโพรงมดลูก | พบน้อยกว่า แต่สัมพันธ์กับอาการ มีผลต่อการตั้งครรภ์ | เลือดออกผิดปกติ, ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ, เสี่ยงแท้ง |
เนื้องอกมดลูกที่เกิดในตำแหน่งต่างกัน อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงไม่เท่ากัน ตั้งแต่เพียงเล็กน้อยไปจนถึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ดังนั้น การทำความเข้าใจชนิดของเนื้องอกจึงมีส่วนช่วยให้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดได้
อาการของเนื้องอกมดลูกมีอะไรบ้าง?
อาการของเนื้องอกมดลูกแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยขึ้นอยู่กับ ขนาด ตำแหน่ง และจำนวนก้อน อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
อาการเกี่ยวกับประจำเดือน
- ประจำเดือนมามากกว่าปกติ ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย
- รอบเดือนยาวนาน เกิน 7 วันขึ้นไป
- รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบ
- มีลิ่มเลือดก้อนใหญ่ปนมากับประจำเดือน
- ปวดประจำเดือนรุนแรงกว่าที่เคย
อาการจากการกดทับ
- รู้สึกแน่นท้องน้อยหรือคลำได้ก้อนแข็ง
- ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะกลางคืนเพิ่มขึ้น (กดกระเพาะปัสสาวะ)
- ท้องผูกหรือถ่ายยาก (กดทับลำไส้ตรง)
- ปวดหลังหรือปวดเอว
อาการอื่น ๆ ของร่างกาย
- ปวดหน่วงหรือแน่นท้องน้อย แม้ไม่ใช่ช่วงมีประจำเดือน
- เจ็บหรือไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีอาการซีด อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หน้า ซีด จากภาวะโลหิตจางที่เกิดจากเสียเลือดมาก
ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะมีอาการชัดเจน โดยประมาณ 25–50% ของผู้ป่วยเนื้องอกมดลูกอาจไม่มีอาการเลย แต่หากมีอาการดังกล่าวและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที
การวินิจฉัยเนื้องอกมดลูก
เมื่อผู้หญิงมีอาการหรือความผิดปกติตามที่กล่าวไปแล้ว อาจสงสัยว่าตนเองเป็นเนื้องอกมดลูกหรือไม่ การวินิจฉัยสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้:
การวินิจฉัยเบื้องต้น
ซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามอาการ ประวัติรอบเดือน และตรวจทางนรีเวช เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น ก้อนหรือรูปร่างมดลูกที่เปลี่ยนไป
การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพ
- อัลตราซาวด์ผ่านหน้าท้องหรือช่องคลอด: วิธีที่ใช้บ่อยที่สุด เห็นตำแหน่ง ขนาด และจำนวนก้อน ตรวจง่าย ไม่เจ็บ
- MRI (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า): ใช้เพื่อดูรายละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะก่อนการผ่าตัด เพื่อประเมินตำแหน่งก้อนและความสัมพันธ์กับอวัยวะข้างเคียง
การตรวจขั้นสูง
- การส่องกล้องโพรงมดลูก (Hysteroscopy): ใช้กล้องขนาดเล็กผ่านช่องคลอดและปากมดลูก เพื่อตรวจดูภายในโพรงมดลูก เหมาะสำหรับประเมินก้อนที่อยู่ใต้เยื่อบุโพรงมดลูก
- การส่องกล้องช่องท้อง (Laparoscopy): เจาะรูเล็กที่หน้าท้องเพื่อนำกล้องเข้าไปตรวจ เหมาะกับก้อนที่อยู่ใต้เยื่อหุ้มมดลูกหรือกรณีที่ซับซ้อน
- การตรวจเลือด: ใช้ตรวจภาวะซีดจากการเสียเลือดเรื้อรัง และช่วยแยกโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกัน
วิธีการรักษาเนื้องอกมดลูก
แนวทางการรักษาเนื้องอกมดลูกขึ้นอยู่กับ อายุ ระดับความรุนแรงของอาการ ขนาดและตำแหน่งของก้อน รวมถึงความต้องการมีบุตรในอนาคต แพทย์จะวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคลตามแต่ละกรณี
การสังเกตและติดตาม สำหรับผู้ที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยจากก้อนเนื้องอกขนาดเล็ก แพทย์มักแนะนำให้ ติดตามอาการและตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6–12 เดือน เพื่อเฝ้าระวังและประเมินความเปลี่ยนแปลงของก้อนเนื้องอกอย่างต่อเนื่อง
การรักษาด้วยยา
- ยาควบคุมฮอร์โมน (GnRH agonist): ช่วยยับยั้งฮอร์โมนชั่วคราว ทำให้ก้อนเล็กลงและลดการเสียเลือด
- ยาห้ามเลือด: ควบคุมอาการประจำเดือนมามาก
- ยาคุมกำเนิด: ช่วยปรับรอบเดือน ลดปวดประจำเดือน และลดปริมาณเลือด
- ห่วงอนามัยชนิดฮอร์โมน (LNG-IUS): ปล่อยฮอร์โมนโปรเจสติน ช่วยลดปริมาณเลือดประจำเดือน
การผ่าตัดรักษา
การผ่าตัดเอาเนื้องอกออก (Myomectomy) – เหมาะกับผู้ที่ยังมีแผนมีบุตร
- ผ่าตัดผ่านกล้องทางหน้าท้อง (Laparoscopic myomectomy): แผลเล็ก ฟื้นตัวไว
- ผ่าตัดผ่านกล้องทางโพรงมดลูก (Hysteroscopic myomectomy): เหมาะกับเนื้องอกใต้เยื่อบุโพรงมดลูก ทำผ่านช่องคลอด ไม่ต้องผ่าเปิดหน้าท้อง
- ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง (Open myomectomy): เหมาะกับก้อนขนาดใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งซับซ้อน
การผ่าตัดมดลูกออก (Hysterectomy) – เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรและมีอาการรุนแรง
- ผ่าตัดผ่านกล้องทางหน้าท้อง (Laparoscopic hysterectomy): แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
- ผ่าตัดทางช่องคลอด (Vaginal hysterectomy): ไม่มีแผลที่หน้าท้อง
- ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง (Open hysterectomy): ใช้ในกรณีที่ซับซ้อน
วิธีการรักษาอื่น ๆ
- การอุดหลอดเลือดมดลูก (Uterine Artery Embolization, UAE): ตัดการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงก้อน ทำให้ก้อนค่อย ๆ ฝ่อ
- การใช้คลื่นเสียงโฟกัสความเข้มสูง (High-intensity Focused Ultrasound, HIFU): รักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด ทำลายก้อนด้วยคลื่นอัลตราซาวด์
ข้อควรพิจารณาในการรักษา หลังการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก มีโอกาสที่ก้อนจะกลับมาใหม่ได้ประมาณ 20–30% อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ แพทย์จะพิจารณาและแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุดตามสภาพร่างกายและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย
จะป้องกันหรือลดความเสี่ยงการเกิดเนื้องอกมดลูกได้อย่างไร?
แม้สาเหตุที่แท้จริงของเนื้องอกมดลูกยังไม่ชัดเจน แต่ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการตรวจสุขภาพเป็นประจำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงและค้นพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ: โรคอ้วนสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นการเจริญของก้อน
- รับประทานอาหารที่สมดุล: เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไฟเบอร์ ลดการบริโภคเนื้อแดงและอาหารไขมันสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ของการออกกำลังกายระดับปานกลาง ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน
- จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม: เพราะความเครียดเรื้อรังมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน ใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น โยคะ การทำสมาธิ
คำแนะนำด้านโภชนาการ
- ควรเพิ่ม: ผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว วิตามินดีจากอาหารและแสงแดด
- ควรบริโภคในปริมาณเหมาะสม: ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่มีไฟโตเอสโตรเจน
- ควรลด: แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และอาหารแปรรูป
การตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- ตรวจนรีเวชประจำปี: รวมถึงการตรวจภายในและการตรวจแปปสเมียร์
- อัลตราซาวด์เป็นระยะ: โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวหรือปัจจัยเสี่ยงสูง
- สังเกตความเปลี่ยนแปลงของรอบเดือน: เช่น ปริมาณเลือด ความสม่ำเสมอ และอาการปวด
เรื่องความเสี่ยงต่อการกลายเป็นมะเร็ง ผู้หญิงหลายคนกังวลว่าเนื้องอกมดลูกอาจกลายเป็นมะเร็ง แต่จริง ๆ แล้ว ความเสี่ยงต่ำมาก (ไม่ถึง 0.1%) เนื้องอกมดลูกถือเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง อย่างไรก็ตาม หากก้อนโตเร็วผิดปกติหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์
ความสำคัญของการตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การตรวจสุขภาพเป็นประจำถือเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด เพราะสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเริ่ม และวางแผนการดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน เช่น โลหิตจาง มีบุตรยาก หรือการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง
ถ้ามีเนื้องอกมดลูกควรทำอย่างไร? Angel Baby Clinic มีคำตอบให้คุณ
ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกมดลูกแล้วรู้สึกกังวลใช่ไหม? ที่ Angel Baby Clinic เราเข้าใจถึงความกังวลใจและความไม่สบายใจของผู้หญิงทุกคน เรามุ่งมั่นที่จะมอบการดูแลรักษาที่เป็นมืออาชีพและใส่ใจในทุกรายละเอียด
เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ พร้อมสถิติความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) มากกว่า 70% ทีมแพทย์และที่ปรึกษาจะประเมินอาการร่วมกับแผนการมีบุตรในอนาคต เพื่อจัดทำแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ 👉 Angel Baby Clinic พร้อมออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคลให้คุณ