ศูนย์การแพทย์ให้คำปรึกษา และรักษาผู้มีบุตรยาก – Angel Baby Clinic

การฉีดเชื้อผสมเทียมคืออะไร? วิเคราะห์ราคา IUI, ข้อดีและข้อเสียของการผสมเทียม

หากคุณเป็นหนึ่งในคู่รักที่กำลังพยายามมีบุตรแต่ยังไม่สำเร็จ คำว่า “การฉีดเชื้อผสมเทียม” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ IUI น่าจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว โดย IUI เป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับคู่สมรสที่มีบุตรยาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่แต่งงานช้า หรือพยายามตั้งครรภ์มานานแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

Angel Baby Clinic ขอพาคุณไปรู้จักกับภาวะมีบุตรยาก พร้อมเจาะลึกว่า IUI คืออะไรและเหมาะกับใครบ้าง

IUI
Table of Contents

ภาวะมีบุตรยากคืออะไร? วินิจฉัยได้อย่างไร?

ภาวะมีบุตรยาก หมายถึง ภาวะที่คู่สมรสมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ (โดยเฉลี่ย 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์) โดยไม่ได้คุมกำเนิด แต่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายใน 1 ปี (กรณีอายุต่ำกว่า 35 ปี) หรือภายใน 6 เดือน (หากอายุเกิน 35 ปี) ในกรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการวินิจฉัยและเริ่มกระบวนการรักษา

สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก?

ภาวะมีบุตรยากอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งในฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกัน โดยเราได้รวบรวมสาเหตุต่างๆไว้ ดังนี้

สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
อายุที่มากขึ้น
ความเครียดและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
โรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน และความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
การอักเสบในอุ้งเชิงกราน
ท่อนำไข่อุดตัน
เนื้องอกในมดลูก
เคยแท้งบุตร
คุณภาพอสุจิไม่ดี เช่น จำนวนน้อย เคลื่อนไหวผิดปกติ
ถุงเก็บอสุจิอักเสบ
การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน ซิฟิลิส
การดื่มแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่
การใช้สารเสพติด

การฉีดเชื้อผสมเทียม IUI คืออะไร?

IUI (Intrauterine Insemination) คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากมีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ค่าใช้จ่ายไม่สูง และไม่ต้องใช้การผ่าตัด แล้วการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI) ต่างกับการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ และเด็กหลอดแก้ว (IVF) อย่างไร?

เปรียบเทียบ IUI กับการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ

ในการตั้งครรภ์แบบธรรมชาติ อสุจิจะต้องว่ายจากช่องคลอด ผ่านปากมดลูกไปยังโพรงมดลูก ซึ่งมีโอกาสรอดไม่มากนัก ในขณะที่ IUI คือการฉีดอสุจิที่ผ่านการคัดเลือก เข้าโพรงมดลูกโดยตรง ซึ่งเมื่อเทียบกับการตั้งครรภ์ธรรมชาติแล้ว เป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวอสุจิที่แข็งแรงสามารถพบกับไข่ได้มากขึ้น

เปรียบเทียบ IUI (การฉีดเชื้อผสมเทียม) กับ IVF (เด็กหลอดแก้ว) มีอะไรที่แตกต่างกัน ?

IUI (การฉีดเชื้อผสมเทียม) และ IVF (เด็กหลอดแก้ว) เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์สองประเภทที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของขั้นตอน ความซับซ้อน อัตราความสำเร็จ และค่าใช้จ่าย:

เปรียบเทียบระหว่าง IUI และ IVF
หัวข้อIUI (การฉีดเชื้อผสมเทียม) IVF (เด็กหลอดแก้ว)
วิธีการฉีดอสุจิที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว เข้าสู่โพรงมดลูก ผสมไข่และอสุจิในห้องแล็บ แล้วย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก
ความซับซ้อนค่อนข้างง่าย ไม่รบกวนร่างกายเยอะ ขั้นตอนซับซ้อน ต้องพบแพทย์และฉีดยาหลายครั้ง
การดมยาสลบโดยทั่วไปไม่ต้องดมยาสลบ ต้องดมยาสลบตอนทำหัตถการเก็บไข่
ค่าใช้จ่ายราคาค่อนข้างต่ำ ราคาค่อนข้างสูง
อัตราความสำเร็จประมาณ 10-20% ประมาณ 30-50%,
ขึ้นอยู่กับอายุและสภาพร่างกาย
เหมาะกับใครผู้ที่อสุจิเคลื่อนที่ได้น้อย มีปัญหาการเจริญพันธุ์เล็กน้อย หรือมีภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ที่มีปัญหาท่อนำไข่อุดตัน อสุจิมีปัญหารุนแรง ผู้มีอายุมาก หรือปัญหาการเจริญพันธุ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ระยะเวลาการรักษาใช้เวลาสั้นกว่า จบในวันเดียว ใช้เวลานานกว่า ใช้เวลาหลายสัปดาห์ต่อหนึ่งครั้ง
การใช้ยาอาจใช้ยากระตุ้นไข่แบบอ่อนๆ ใช้ยาฮอร์โมนหลายชนิดกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่

โดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาจากอายุ สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก และงบประมาณของแต่ละคู่ เพื่อแนะนำแนวทางที่เหมาะสมที่สุด บางคู่เริ่มด้วย IUI หากไม่สำเร็จจึงพิจารณา IVF และเมื่อเทียบกับ IVF แล้ว IUI มีราคาถูกกว่ามาก แต่อัตราความสำเร็จอยู่ที่ 10~20% เท่านั้น

ขั้นตอนการรักษา IUI

สำหรับคู่รักที่ต้องการรักษาด้วยวิธี IUI มีเงื่อนไขเบื้องต้นดังนี้ : เป็นคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย (ต้องมีใบทะเบียนสมรส) และได้รับการประเมินโดยแพทย์ รวมถึงการตรวจประวัติสุขภาพ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือด

โดยมีเกณฑ์การประเมินทั่วไปดังนี้:

  • มดลูกของฝ่ายหญิงสามารถรองรับการตั้งครรภ์ได้
  • มีอสุจิหรือไข่ที่แข็งแรง อย่างน้อยจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

การเตรียมตัวทำ IUI สำหรับฝ่ายหญิง

ในกระบวนการรักษาด้วย IUI แพทย์จะกระตุ้นการทำงานของรังไข่ฝ่ายหญิง เพื่อให้ไข่เติบโตได้หลายใบภายในรอบเดือนเดียว ด้วยการฉีดยาหรือรับประทานยากระตุ้นไข่ จากนั้นจะมีการตรวจติดตามด้วยอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจดูการเจริญเติบโตของไข่ และความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก

เมื่อไข่เติบโตจนถึงขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะฉีดยากระตุ้นไข่ตก โดยทั่วไปจะทำให้ไข่ตกภายใน 36–40 ชั่วโมงหลังฉีดยา และแพทย์จะนัดทำการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกในวันไข่ตก

หากในระหว่างนี้พบความผิดปกติๆใด แพทย์จะปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมทันที เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากที่สุด

การเตรียมตัวทำ IUI สำหรับฝ่ายชาย

ก่อนเข้ารับการรักษาด้วย IUI ฝ่ายชายควรดูแลสุขภาพร่างกายให้พร้อม โดยเน้นการนอนหลับให้เพียงพอ ลดความเครียด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเสริมวิตามินที่จำเป็นอย่างเหมาะสม

ก่อนเก็บตัวอย่างอสุจิ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยงดการหลั่งเป็นระยะเวลา 2 ถึง 7 วัน และต้องมาให้ตัวอย่างอสุจิที่คลินิกตามวันเวลาที่นัดหมายสำหรับการทำ IUI

หลังจากได้ตัวอย่างอสุจิ ทีมแพทย์จะทำการคัดกรองและเตรียมอสุจิ โดยเลือกเฉพาะตัวที่มีคุณภาพดี แข็งแรง และมีความสามารถในการเคลื่อนที่สูง ขั้นตอนการเตรียมอสุจินี้ใช้เวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง จากนั้นจึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูกต่อไป

ขั้นตอนการทำ IUI

หลังจากเตรียมและคัดกรองอสุจิเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเริ่มขั้นตอนการฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก โดยใช้อุปกรณ์ที่เป็นท่อขนาดเล็กสอดผ่านปากมดลูก เพื่อฉีดอสุจิที่ผ่านการคัดเลือกแล้วเข้าไปยังโพรงมดลูกโดยตรง ทั้งนี้ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 10–15 นาทีเท่านั้น โดยทั่วไปจะไม่รู้สึกเจ็บ หรืออาจมีเพียงความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น

ข้อควรระวังหลังทำ IUI

หลังจากฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกแล้ว ไม่จำเป็นต้องนอนพักเป็นเวลานาน โดยสามารถนอนพักประมาณ 30 นาที ก็กลับบ้านได้แล้ว โดยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาอารมณ์ให้ผ่อนคลาย และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แล้วแพทย์จะนัดให้กลับมาตรวจประมาณ 2 สัปดาห์หลังการฉีดเชื้อ เพื่อประเมินว่ามีการตั้งครรภ์สำเร็จหรือไม่

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ IUI รวบรวม Q&A มาให้คุณที่นี่แล้ว!

ใครเหมาะกับการทำ IUI บ้าง?

ก่อนเริ่มการทำ IUI หรือการฉีดเชื้อผสมเทียม แพทย์จะต้องประเมินภาวะเจริญพันธุ์ของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายก่อนว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเงื่อนไขพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วย IUI มีดังนี้:

ฝ่ายหญิง

  • ต้องมีท่อนำไข่อย่างน้อยหนึ่งข้างที่ทำงานได้ดี (หากมีท่อนำไข่ปกติเพียงข้างเดียว โอกาสตั้งครรภ์จะลดลง เนื่องจากหากรอบเดือนนั้นไข่ตกจากข้างที่อุดตัน ไข่ก็จะไม่สามารถตกลงมาได้)

  • ปากมดลูกต้องอยู่ในสภาพปกติ หากปากมดลูกผิดปกติอาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือทำให้ประสิทธิภาพของการฉีดเชื้อลดลง

     

  • โพรงมดลูกต้องมีโครงสร้างปกติ และเยื่อบุโพรงมดลูกต้องมีความหนาเหมาะสม เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวได้

ฝ่ายชาย

  • คุณภาพของอสุจิต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เช่น มีจำนวนที่เพียงพอ เคลื่อนไหวได้ดี และรูปร่างปกติ

  • สามารถเก็บตัวอย่างอสุจิได้ด้วยตัวเองในวันทำการรักษา

อัตราความสำเร็จของ IUI นั้นสูงเท่าใด?

การทำ IUI (การฉีดน้ำเชื้อผสมเทียม) เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากขั้นตอนค่อนข้างง่าย ไม่รบกวนร่างกายมาก และมีค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล

อัตราความสำเร็จของ IUI จะขึ้นอยู่กับช่วงอายุ ดังนี้:

  • ผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี มีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จประมาณ 20%–25%
  • ผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปีหรือต่ำกว่า มีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จประมาณ 15%
  • ผู้หญิงอายุเกิน 40 ปี มีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 10%

โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราความสำเร็จต่อรอบการรักษาอยู่ที่ประมาณ 10–20% ส่วนใหญ่คู่สมรสที่ประสบความสำเร็จจะตั้งครรภ์ได้ภายใน 4–6 เดือนแรกของการรักษา

หากพยายามทำ IUI หลายรอบแล้วยังไม่สำเร็จ แพทย์อาจแนะนำให้ประเมินหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยากอีกครั้ง และพิจารณาใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อื่น ๆ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ซึ่งแนวทางการรักษาแบบเป็นขั้นตอนนี้จะช่วยให้แต่ละคู่สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับตนเองได้มากขึ้นค่ะ

การทำ IUI สามารถทำได้กี่ครั้ง?

การทำ IUI หลายรอบสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์โดยรวมได้ เนื่องจากมีการสะสมผลจากการรักษาในแต่ละรอบ จากข้อมูลทางคลินิกพบว่า คู่สมรสส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมักจะตั้งครรภ์ได้ภายใน 3–4 รอบแรก อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยพบว่า เมื่อเข้าสู่รอบที่ 6 เป็นต้นไป อัตราความสำเร็จของการทำ IUI ในแต่ละรอบจะค่อนข้างคงที่ และไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

โดยทั่วไป แพทย์จึงมักแนะนำให้ลองทำ IUI ประมาณ 3–6 รอบ หากยังไม่ประสบผลสำเร็จ อาจพิจารณาทบทวนแผนการรักษาและเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์วิธีอื่น ทั้งนี้ จำนวนรอบที่ควรทำขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น อายุ สุขภาพร่างกาย ความพร้อมทางจิตใจ และข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งแพทย์จะช่วยประเมินและแนะนำแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคู่ค่ะ

แนะนำคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก:Angel Baby Clinic ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก

Angel Baby Clinic ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากในประเทศไทย มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์เจริญพันธุ์มากประสบการณ์ โดยมี ดร.ฐานิสา (Dr. THANISA) เป็นหัวหน้าทีมแพทย์ คลินิกของเรามีห้องแล็บสำหรับเลี้ยงตัวอ่อนที่ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งสามารถทำให้การตั้งครรภ์สำเร็จจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ได้มากกว่า 70%

เราเชื่อมั่นว่า หัวใจของความสำเร็จในการรักษาภาวะมีบุตรยากอยู่ที่ เทคโนโลยีการเลี้ยงตัวอ่อนที่แม่นยำ ผสานกับ ระบบการดูแลแบบครบวงจร ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความชำนาญของทีมแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความพร้อมของห้องปฏิบัติการและความเชี่ยวชาญของนักวิทยาศาสตร์ตัวอ่อนอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีการรักษาแบบ IUI หรือ IVF ทีมของเราพร้อมออกแบบแผนการรักษาที่ “เหมาะสมเฉพาะบุคคล” เพื่อเพิ่มโอกาสให้คุณประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์มากที่สุดค่ะ

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ไทย